อัคคีวันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะตอนนี้ผ่านไปสามเดือนนับจากวันเปิดเทอมแล้วแหละครับ ผมกับฟิวกลายเป็นเพื่อนซี้กัน เรานั่งอยู่แถวกลางห้อง (คือที่นั่งจะให้นักเรียนนั่งโต๊ะติดกันเป็นคู่ๆไป มีอยู่สี่แถวครับ ห้องของผมมีนักเรียนสามสิบคน โรงเรียนของเราพึ่งเปิดรับนักเรียนหญิงได้ไม่นานเนื่องจากเป็นโรงเรียนชายล้วนมาก่อน ห้องผมมีนักเรียนหญิงแค่หกคนเองครับ อีกยี่สิบสี่คนเป็นผู้ชายหมด) คนที่นั่งข้างหน้าผมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องชายของพี่อรที่เห็นกันวันสัมภาษณ์นั่นแหละครับ น้องพี่อรชื่อคี มาจากชื่อจริงของมันว่าอัคคี ด้วยความที่ผมนั่งใกล้กับคี เพื่อนๆที่นั่งใกล้ๆกันจึงจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน มีผม มีฟิว มีคี แล้วก็จอม สี่คน แรกๆมีห้าคนคือมีปลิวอีกคนครับ แต่ว่าน้องพี่อร ไอ้คีหน่ะมันซ่าพอตัวแหละครับ ถึงเราจะไม่พูดกัน ผมก็รู้สึกได้ว่าเวลาเราอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มมันมักเป็นหัวหน้าของกลุ่มตัดสินใจเรื่องต่างๆอยู่เสมอ คีมันเคยพูดว่าถ้าใครในกลุ่มเล่นยามันจะเลิกคบ แล้วปลิวหน่ะมีเพื่อนเป็นรุ่นพี่เยอะครับ ผมได้ยินกุ้งเพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดียวกับปลิวมันเล่าให้ฟังว่าตอนป.หก ปลิวมันมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นประจำ คงพอๆกับคีแหละครับ รายนั้นดูแล้วก็คงมีเรื่องกับชาวบ้านบ่อย เจ้าตัวเค้าชอบโม้ให้ฟังหน่ะครับว่าไปทำวีรกรรมอะไรมาบ้าง ตั้งแต่แกล้งเพื่อนผู้หญิงในห้อง ยันไปถึงเรื่องแกล้งครู
อืม... พูดถึงเรื่องปลิวต้องออกจากกลุ่มสินะครับ เรื่องมันก็มีอยู่ว่าวันนั้นผมเดินไปเข้าห้องน้ำตอนพักกลางวัน ขณะที่ผมกำลังล้างมือที่อ่างน้ำ ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน
“ปลิว กูว่ามึงเลิกเหอะว่ะ”
“นิดหน่อยน่ามึง แค่ลองเล่นๆไง”
“พวกพี่พวกนี้ใช่มั้ยที่ชวนให้มึงลอง”
“เฮ้ย มึงคิดว่ามึงเป็นใครวะ มายืนค้ำหัวกูคุยกันยังไม่พอ ยังมาพาดพิงถึงพวกกูอีก อยากมีปัญหามากนักรึไง”
สิ้นเสียงนี้ผมสะดุ้งสุดตัว รีบวิ่งออกไปหน้าห้องน้ำ เป็นคีกับปลิวจริงๆด้วย แต่ว่าตอนนี้พวกรุ่นพี่กับคีกำลังจ้องหน้ากันอยู่ คีก็เหลือเกิน มันเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ล้วงมือเข้าในกระเป๋ากางเกง โคตรจะกวนตีน ขนาดผมเป็นเพื่อนมัน ยังอยากจะต่อยหน้ามันเลยครับ นับประสาอะไรกับพวกรุ่นพี่พวกนั้น พี่เค้ามีกันตั้งสี่คน มึงอยู่คนเดียวยังกล้านะคี ผมรีบเดินเข้าไปกั้นตรงกลาง
“คี ปลิว กลับเถอะ คาบบ่ายจะเริ่มแล้วนะ” ผมเหมือนเป็นธาตุอากาศครับ ยังจ้องหน้ากันไม่หยุดเหมือนเดิม ส่วนปลิวมันก็นั่งกับเก้าอี้ไม้หินอ่อนก้มหน้าอยู่
โอย ทำไงดีเนี่ย เหงื่อผมออกเต็มสองมือเลยครับ พี่ที่ยืนจ้องหน้าคีคือพี่เวย์ อ๊ะ อย่างงว่าทำไมผมรู้จักพี่เค้า พี่แกเล่นมีเรื่องกับชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน คงมีใครไม่รู้จักอยู่หรอก
“คี ไปเหอะ” ผมแตะแขนคี พร้อมกับเงยหน้าเรียกมันไปด้วย ทำไมใครๆก็สูงกว่ากูกันหมดนะ ผมพึ่งม.หนึ่งก็แค่ร้อยห้าสิบเอง พวกนั้นมันโตไวเกินไปต่างหาก สูงกันร้อยหกสิบกว่าแล้ว พวกพี่ๆก็ไม่ต้องพูดถึงครับ สูงร้อยเจ็ดสิบกว่ากันทั้งนั้น
คีไม่พูด มันมองผมแล้วทำหน้าโกรธปนรำคาญใส่ผมครับ แต่ผมไม่สน ใครจะอยากมีเรื่องตอนนี้หล่ะ คนเราก็มีน้อยกว่า แถมเพื่อนกันยังเหมือนแตกคอกันเองอีก โอ้ย คิดแล้วปวดหัวครับ ทำไงดีเนี่ย
“มึงจะเอาไง ว่ามา” พี่เวย์พูดขึ้น
“กูไม่เอาไงหรอก พวกมึงถอยไป” มึงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าพ่อเซี้ยงไฮ้รึป่าววะไอ้คี๊ มึงเห็นหน้าพี่เค้ามั้ย เค้าจะกินหัวมึงอยู่แล้ว
“ถอยให้โง่สิวะ” พี่คนหนึ่งในกลุ่มตอบกลับมา ผมกำแขนคีแน่นขึ้น คงรู้สึกได้แล้วว่ามีผมอยู่ตรงนี้ คีก้มมามองผมแล้วหันไปตอบพวกพี่เค้า
“หลังเลิกเรียนเจอกันสวนหลังโรงเรียนตัวต่อตัวนะพี่ ไม่เอาหมาหมู่”
“หึ เอาให้แน่แล้วกัน ไม่ใช่ป๊อดแล้วไม่ไปนะมึง” คีไม่พูดอะไรต่อ มันเดินชนไหล่พี่เค้าผ่านไปเลย ปล่อยผมยืนค้างไว้ตรงนั้นแหละครับ
ผมมองไปที่ปลิว เป็นห่วงปลิวจัง ถ้าทะเลาะกัน คนในกลุ่มคงเข้าข้างคีกันหมด เพราะว่าปลิวมีโลกส่วนตัวสูงครับ ไม่ค่อยสนิทกับคนในกลุ่มเท่าไหร่ แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามันไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายกับผม เพราะฉะนั้น มันเป็นเพื่อนผมอยู่เสมอ
“ปลิว...” ปลิวเงยหน้ามองผม ไม่พูดอะไร มันยิ้มให้น้อยๆแล้วเมินหน้าไป
“น้ำ เร็วๆดิ มึงรีบไปเรียนคาบต่อไปไม่ใช่รึไง” ผมยังไม่ทันพูดอะไรกับปลิวต่อ คีมันก็เรียกผมเสียงเข้มเชียวครับ ผมกัดริมฝีปากและรีบวิ่งกลับห้องไปกับคี เราไม่พูดอะไรกันเลยจนเรียนคาบสุดท้ายจบแหละครับ เรียนไปผมก็ลอยไป มองไปประตูหลังห้องก็เห็นปลิวนั่งเอาหน้าฟุบแขนอยู่ ไม่รู้ว่าหลับรึป่าว ส่วนคี ก็นั่งหมุนแหวนเงินที่นิ้วก้อยเล่นไป ผมคงจะไม่ได้เรียนโดยสมบูรณ์แบบถ้าฟิวไม่คอยสะกิดให้จดตามที่ครูพูด
“เลิกแล้วโว้ยยย” จอมตะโกนพร้อมกับบิดขี้เกียจไปด้วย แต่มันก็ต้องชะงักครับ เพราะผมเอาแต่จ้องคีที่กำลังโกยของใส่กระเป๋า
“เอ่อ พวกมึงมีไรกันป่าววะ” ผมไม่ตอบจอมครับ และคีก็ดูท่าจะไม่สนใจผมด้วย
ผมถอนหายใจแล้วย่นจมูก “คี จะไปจริงๆเหรอ”
“อือ น้ำไม่ต้องไปหรอก กลับบ้านได้แล้ว”
“เฮ้ย คี มึงไปไหนวะ” จอมผู้สังเกตการณ์อดถามขึ้นไม่ได้
“เจอพวกพี่เวย์หลังโรงเรียนว่ะ” คีตอบไปพร้อมกับผูกเชือกรองเท้าไปด้วย
“งั้น ก็ไปด้วย” จอมพูดขึ้น เอ่อ ง่ายเนอะจอม รู้รึยังเนี่ยว่าเค้าไปทำไรกัน
“ไปมีเรื่องไรมาวะ” ฟิวถามขึ้นแบบงงๆ
“ไว้กูมาอธิบายวันหลังแล้วกัน” คีพูดจบก็เดินออกนอกห้องไปเลยครับ
“เฮ้ย เดี๋ยว กูไปด้วย” ฟิวท้วงอีกคน
“เออ รีบๆมาดิ พวกนั้นมันนัดสวนหลังโรงเรียน” อ้าว ทีผมล่ะห้าม ทำไมอีกสองคนไปได้อ่ะ ไม่เข้าใจ ผมก็จะไปด้วยนะ เผื่อพวกพี่เค้าเกิดเปลี่ยนใจอยากเล่นหมู่ขึ้นมาทำไงอ่ะ ผมรีบโกยของใส่กระเป๋าบ้าง ก่อนออกจากห้องผมอดหันไปมองปลิวไม่ได้ ปลิวยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะครับ ฟุบอยู่เหมือนเดิม
“ปลิว ไปด้วยกันมั้ย” ผมยกเป้ขึ้นสะพายพร้อมกับถามปลิว
“ไปสิ”
เราเดินไปพร้อมๆกันที่สวนหลังโรงเรียน ที่ตรงนี้เงียบมาก เด็กนักเรียนมักจะนัดมาต่อยกันบ่อยๆ เพราะนอกจากเงียบแล้วบริเวณหน้าสวนที่ติดกับถนนถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ และหญ้าที่ขึ้นสูงจนเลยหัว แต่ถ้าหากแหวกๆพงหญ้าเข้ามา ซึ่งคงจะต้องโดนหญ้าบาดพอแสบๆคันๆกันบ้างแหละครับ ก็จะเห็นลานว่างที่หญ้าขึ้นเตี้ยๆใต้ร่มไม้ต้นมะขามต้นใหญ่ และตอนนี้ผมเห็นพี่เวย์กับคีอยู่กลางลานครับ ผมวิ่งไปยืนข้างๆฟิว ส่วนปลิวเดินแยกไปรวมกับพวกเพื่อนๆพี่เวย์
พอเข้ามาใกล้ๆแล้วผมก็รู้สึกว่าภาพที่เห็นเมื่อกี้ผิดความคาดหมาย เพราะผมนึกว่าคีกำลังแย่ แต่ความจริงคนที่กำลังแย่กลับเป็นพี่เวย์ พี่เวย์นั่งกองกับพื้นเอามือยันตัวเองถ่มเลือดออกจากปากและพยายามจะลุกขึ้นมา แต่พี่แกลุกไม่ไหว พวกเพื่อนพี่เค้าจะเข้ามารุมคี แต่ปลิวขวางไว้ก่อน ส่วนฟิวกับจอมก็หายไปยืนข้างๆคีอย่างไว ผมเองก็เดินตามไปบ้าง
“มึงกับกูจบกันแค่นี้ ไม่มีอะไรติดค้างกัน” คีพูดพร้อมกับมองพวกพี่เวย์และเพื่อนที่พากันมาพยุงพี่แกไปยืนข้างๆ
“แล้วอย่าให้รู้นะ ว่าพวกมึงจะแอบลอบกัดไปหาเรื่องกับเพื่อนกู” คีพูดต่อหลังจากเห็นสายตาและสีหน้าเคียดแค้นจากพวกรุ่นพี่
ก่อนกลับผมเห็นคีกับปลิวมองหน้ากัน ทั้งสองคนไม่พูดอะไรกันสักคำ และเมื่อคีเดินกลับหลังหันออกไป จอมกับฟิวก็ลากผมตามกลับไปด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น