วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปวดท้อง (6/11/55)

ปวดท้อง

“...อดใจไม่ไหวเมื่อได้พบหน้า ยิ่งเธอส่งยิ้มคืนมายังหวั่นไหว...” ระหว่างที่เราเดินไปที่โรงจอดรถมอเตอไซค์ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของคีก็ดังขึ้น

“ครับ”

“...”

“ไม่มีไรว่ะพี่ ไอ้นั่นมันอ่อน ทำกร่างไปงั้นแหละ”

“...”

“อือ จะกลับแล้ว” แล้วคีก็วางสายไปครับ มันขึ้นคร่อมมอไซค์ ส่องกระจกหน้ารถแล้วลูบขอบปากด้านขวาที่เริ่มกลายเป็นสีม่วง ส่วนฟิวกับจอมก็จูงรถมาข้างๆคี

“งั้นน้ำกลับก่อนนะ” ผมเองก็คิดว่าควรกลับได้ซักที หลังจากผ่านสถานการณ์เครียดๆในวันนี้ ผมเริ่มรู้สึกปวดท้องแล้วสิ อ่า รู้สึกแย่จริงๆเลย เวลามีเรื่องเครียดทีไรปวดท้องทุกที

“น้ำ กลับยังไง” คีเลิกส่องกระจกแล้วหันมาถามผม

“นั่งรถกลับเอง” ผมไม่ชอบขับมอไซค์เลย เพราะขับทีไร ผมจะไม่ค่อยมีสติ คือผมเป็นคนชอบคิดอะไรไปเรื่อยๆหน่ะครับ เวลาขับเลยเกือบชนชาวบ้านเค้าทุกที

“เดี๋ยวคีไปส่ง พี่ธารก็อยู่บ้านคี เดี๋ยวตอนเย็นค่อยกลับพร้อมพี่ธาร” พี่ธารคือพี่สาวของผมเอง

“อื้อ” ผมรับปากพร้อมกับเดินไปซ้อนท้าย รถมอไซค์ของคีค่อนข้างสูงถ้าเทียบกับช่วงขาการก้าวของผม คีขับ Honda CBR 250Rสีแดง แถมเบาะนั่งยังทำให้ปวดตูดอีกต่างหาก

“คี ทำไมไม่ซื้อไอ้ที่มันนั่งสบายกว่านี้เนี่ย”

“เอ๊า ถ้านั่งสบายก็ไม่ใช่รถคีดิ” คีตอบพร้อมหัวเราะ “ส่วนมาก ก็ไม่มีใครซ้อนท้ายหรอก”

“เป็นเกียรติมากเลยที่ได้ซ้อนรถคีเนี่ย” ผมประชดกลับไปหน้างอ โอย ปวดท้อง ปวดตูด

“คี เดี๋ยวพวกกูก็จะไปบ้านมึงเหมือนกัน เล่ามาให้หมดว่าตกลงเรื่องวันนี้มันเป็นไงมาไง” ฟิวบอกคีก่อนที่มันกับจอมจะบิดมอไซค์นำหน้าไปก่อน คีใส่หมวกกันน็อคแล้วขับตามไป

ระหว่างทาง ผมเริ่มปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ เวียนหัวและรู้สึกอยากอ้วก ผมใช้มือซ้ายกุมท้องและเริ่มงอตัว มือขวาจับไหล่คีไว้ มือผมชื้นเหงื่อจนเปียกไปหมด พอติดไฟแดง คีคงรู้สึกว่าไหล่ข้างที่ผมจับอยู่ชื้นเหงื่อ และตอนเบรก ผมที่งอตัวอยู่เอาหัวไปโขกกับหลังคีเข้า เจ้าตัวเค้าเลยหันหน้ามามองผม เปิดกระจกหมวกันน็อคขึ้นแล้วถามผมด้วยท่าทางตกใจ

“เฮ้ย น้ำ เป็นอะไรอ่ะ”

“ปวดท้อง แต่เดี๋ยวกินยาก็หาย รีบขับกลับบ้านเหอะ”

“ฟิว จอม ขับเร็วๆหน่อย น้ำปวดท้อง” คีพูดจบก็ไฟเขียวพอดี

พอขับถึงบ้าน ผมลงก้าวลงรถแบบเซๆ ยืนตัวงอกุมท้องไปด้วย ฟิวจอดรถและรีบเดินเข้ามาหาผม

“น้ำ เดินไหวรึป่าว”

“ไหวสิ” ผมเดินเข้าบ้านของคีแล้วรีบเดินตรงไปห้องครัว ผมรินน้ำใส่แก้วและค้นยาในกระเป๋า ผมกินยา ดื่มน้ำตาม แล้วเอามือสองข้างกุมท้อง นั่งเก้าอีในห้องกินข้าว หัวทิ้งดิ่งเกยบนโต๊ะอย่างหมดแรง ผมรู้สึกปวดท้องมากจริงๆ แถมเวียนหัวอยากอ้วก รู้สึกได้เลยว่าริมฝีปากเริ่มแห้ง

ฟิวกับจอมเดินมานั่งเก้าอี้ข้างๆ ผมหลับตาลงหวังให้อาการเจ็บบรรเทา

“น้ำ น้ำ ไหวรึป่าว” ฟิว แตะแขนผมถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“หน้าซีดมากเลย” จอมจ้องหน้าผมพร้อมกับพูดขึ้น

ซักพักผมก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในห้องครัว

“น้ำ ขึ้นไปนอนพักบนห้องก่อนเถอะ” ผมเองก็คิดว่าถ้านอนบนเตียงคงสบายตัวกว่านี้ ได้หลับซักตื่นก็คงจะดีขึ้น

ผมค่อยๆเดินลากสังขารขึ้นบันไดไปบนห้องของคี  ปวดจนน้ำตาคลอเบ้า เริ่มปวดหัวและอยากอ้วกมากขึ้นเรื่อยๆ ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงของคี นอนตะแคงข้าง หลับตาและกัดริมฝีปากแน่น

“น้ำ ถ้าไม่ไหวบอกนะ ไปโรงบาลกัน” จอมเอ่ยขึ้น

ผมไม่ตอบแต่พยักหน้ารับ พอลืมตาก็เห็นแต่ละคนนั่งจ้องผมอยู่ ฟิวนั่งเท้าแขน จอมนั่งไขว่ห้างตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะคอม และคีที่นั่งปรับสายกีตาร์อยู่ตรงปลายเตียง  ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่และบิดตัวไปมา คีวางกีตาร์เดินมาที่หัวเตียงแล้วหยิบตุ๊กตาหน้าตาประหลาดยื่นให้ผม

“กอดตัวนี้ไว้ เดี๋ยวก็หาย” ใครเห็นก็คงไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างอัคคี จะมีตุ๊กตาอยู่เต็มหัวเตียง คีชอบตุ๊กตามากครับ ผมจำได้ว่า พราวสาวน้อยแฟนคนล่าสุดของคีเคยให้ตุ๊กตาหมีพู ตอนได้คีกอดตุ๊กตาท่าทางดีใจมาก แต่บอกตรงๆ ผมว่ายังไงก็ไม่เข้ากันซักนิด

ผมรับตุ๊กตามากอดและมองสำรวจ มองไม่ค่อยออกว่ามันเป็นตัวอะไร ตัวมันคล้ายๆหนู แต่ไม่มีหาง แถมตัวโตด้วย

“มันชื่ออะไร” ผมเป็นประเภทชอบตั้งชื่อให้กับของใช้หรืออะไรที่รู้สึกถูกใจเป็นพิเศษหน่ะครับ แล้วเจ้าตัวนี้ก็น่ารักมากๆ

“หืม ไม่มีชื่อหรอก”

“จอมๆ จอมว่านี่มันตัวอะไร”

“หมามั้ง” จอมที่หันไปเล่นคอม หันกลับมามองตุ๊กตาในอ้อมแขนของผมแล้วตอบ

“จะเป็นหมาได้ไงอ่ะ ขาเล็กนิดเดียว น้ำว่าเป็นหนูนะ” จอมไม่สนใจคำแย้งของผมเท่าไหร่ หันกลับไปเล่นคอมต่อ ผมจึงหันไปสบตากับฟิวที่มองผมยิ้มๆ

“ฟิวล่ะ คิดว่ามันเป็นตัวอะไร ช่วยน้ำตั้งชื่อให้มันหน่อยสิ”

“ไม่รู้สิ หมาผสมหนูมั้ง ให้มันชื่อว่าผสมดีมั้ยล่ะ”

“ดีจัง ชื่อน้องผสมก็แล้วกันนะ” ผมอดยิ้มให้เจ้าผสมไม่ได้ แกมันน่ารักจริงๆเลย ขอจุ๊บทีดิ๊ ผมจุ๊บปากเจ้าผสมแล้วยิ้มให้มัน

“ปัญญาอ่อนว่ะน้ำ” ฟิวว่าแล้วหัวเราะใส่ผม

คีเริ่มดีดกีตาร์ ผมนอนฟังได้สักครู่ก็รู้สึกว่ามีน้ำขมๆจุกขึ้นมาในลำคอ ผมดีดตัวขึ้นนั่ง มองหน้าฟิว

“ฟิว อยากอ้วก” พูดจบผมก็ปิดปากรีบลุกขึ้นวิ่งไปห้องน้ำ ผมทรุดนั่งหน้าชักโครกพร้อมกับอ้วกออกมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฟิวรีบวิ่งตามมาลูบหลังให้ผม ซักพักผมจึงกดโถ ลุกขึ้นบ้วนปากและใช้กระดาษทิชชู่เช็ดปาก รู้สึกแสบคอแสบจมูกไปหมดเลยครับ แต่ก็ดีกว่าที่ปวดท้อง ปวดหัว พร้อมกับพะอืดพะอมแบบเมื่อกี้แหละ

“หมดสภาพเลยเพื่อนกู” จอมทักผมทันทีที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำ

“แต่หน้าตาดูดีขึ้นแล้วนะ ตะกี้หน้าซีดหยั่งกะกระดาษ” ฟิวทักขึ้นบ้าง

“อือ น้ำก็รู้สึกว่าหายแล้วล่ะ” ผมตอบพร้อมกับเดินมานั่งยิ้มให้ทั้งสามคนบนเตียง หยิบเจ้าผสมมาวางไว้บนตัก หันไปมองเจ้าของน้องผสมก็เห็นดีดกีตาร์หน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม


จบแล้วค่ะ

ปล. ไว้จะนำนิยายเรื่องสั้นๆมาให้อ่านอีกนะคะ^^

อัคคี (6/11/55)

อัคคีวันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะตอนนี้ผ่านไปสามเดือนนับจากวันเปิดเทอมแล้วแหละครับ ผมกับฟิวกลายเป็นเพื่อนซี้กัน เรานั่งอยู่แถวกลางห้อง (คือที่นั่งจะให้นักเรียนนั่งโต๊ะติดกันเป็นคู่ๆไป มีอยู่สี่แถวครับ ห้องของผมมีนักเรียนสามสิบคน โรงเรียนของเราพึ่งเปิดรับนักเรียนหญิงได้ไม่นานเนื่องจากเป็นโรงเรียนชายล้วนมาก่อน ห้องผมมีนักเรียนหญิงแค่หกคนเองครับ อีกยี่สิบสี่คนเป็นผู้ชายหมด) คนที่นั่งข้างหน้าผมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน น้องชายของพี่อรที่เห็นกันวันสัมภาษณ์นั่นแหละครับ น้องพี่อรชื่อคี มาจากชื่อจริงของมันว่าอัคคี ด้วยความที่ผมนั่งใกล้กับคี เพื่อนๆที่นั่งใกล้ๆกันจึงจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน มีผม มีฟิว มีคี แล้วก็จอม สี่คน แรกๆมีห้าคนคือมีปลิวอีกคนครับ แต่ว่าน้องพี่อร ไอ้คีหน่ะมันซ่าพอตัวแหละครับ ถึงเราจะไม่พูดกัน ผมก็รู้สึกได้ว่าเวลาเราอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มมันมักเป็นหัวหน้าของกลุ่มตัดสินใจเรื่องต่างๆอยู่เสมอ คีมันเคยพูดว่าถ้าใครในกลุ่มเล่นยามันจะเลิกคบ แล้วปลิวหน่ะมีเพื่อนเป็นรุ่นพี่เยอะครับ ผมได้ยินกุ้งเพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดียวกับปลิวมันเล่าให้ฟังว่าตอนป.หก ปลิวมันมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นประจำ คงพอๆกับคีแหละครับ รายนั้นดูแล้วก็คงมีเรื่องกับชาวบ้านบ่อย เจ้าตัวเค้าชอบโม้ให้ฟังหน่ะครับว่าไปทำวีรกรรมอะไรมาบ้าง ตั้งแต่แกล้งเพื่อนผู้หญิงในห้อง ยันไปถึงเรื่องแกล้งครู

อืม... พูดถึงเรื่องปลิวต้องออกจากกลุ่มสินะครับ เรื่องมันก็มีอยู่ว่าวันนั้นผมเดินไปเข้าห้องน้ำตอนพักกลางวัน ขณะที่ผมกำลังล้างมือที่อ่างน้ำ ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน

“ปลิว กูว่ามึงเลิกเหอะว่ะ”

“นิดหน่อยน่ามึง แค่ลองเล่นๆไง”

“พวกพี่พวกนี้ใช่มั้ยที่ชวนให้มึงลอง”

“เฮ้ย มึงคิดว่ามึงเป็นใครวะ มายืนค้ำหัวกูคุยกันยังไม่พอ ยังมาพาดพิงถึงพวกกูอีก อยากมีปัญหามากนักรึไง”

สิ้นเสียงนี้ผมสะดุ้งสุดตัว รีบวิ่งออกไปหน้าห้องน้ำ เป็นคีกับปลิวจริงๆด้วย แต่ว่าตอนนี้พวกรุ่นพี่กับคีกำลังจ้องหน้ากันอยู่ คีก็เหลือเกิน มันเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ล้วงมือเข้าในกระเป๋ากางเกง โคตรจะกวนตีน ขนาดผมเป็นเพื่อนมัน ยังอยากจะต่อยหน้ามันเลยครับ นับประสาอะไรกับพวกรุ่นพี่พวกนั้น พี่เค้ามีกันตั้งสี่คน มึงอยู่คนเดียวยังกล้านะคี ผมรีบเดินเข้าไปกั้นตรงกลาง

“คี ปลิว กลับเถอะ คาบบ่ายจะเริ่มแล้วนะ” ผมเหมือนเป็นธาตุอากาศครับ ยังจ้องหน้ากันไม่หยุดเหมือนเดิม ส่วนปลิวมันก็นั่งกับเก้าอี้ไม้หินอ่อนก้มหน้าอยู่

โอย ทำไงดีเนี่ย เหงื่อผมออกเต็มสองมือเลยครับ พี่ที่ยืนจ้องหน้าคีคือพี่เวย์  อ๊ะ อย่างงว่าทำไมผมรู้จักพี่เค้า พี่แกเล่นมีเรื่องกับชาวบ้านไม่เว้นแต่ละวัน คงมีใครไม่รู้จักอยู่หรอก

“คี ไปเหอะ” ผมแตะแขนคี พร้อมกับเงยหน้าเรียกมันไปด้วย ทำไมใครๆก็สูงกว่ากูกันหมดนะ ผมพึ่งม.หนึ่งก็แค่ร้อยห้าสิบเอง พวกนั้นมันโตไวเกินไปต่างหาก สูงกันร้อยหกสิบกว่าแล้ว พวกพี่ๆก็ไม่ต้องพูดถึงครับ สูงร้อยเจ็ดสิบกว่ากันทั้งนั้น

คีไม่พูด มันมองผมแล้วทำหน้าโกรธปนรำคาญใส่ผมครับ แต่ผมไม่สน ใครจะอยากมีเรื่องตอนนี้หล่ะ คนเราก็มีน้อยกว่า แถมเพื่อนกันยังเหมือนแตกคอกันเองอีก โอ้ย คิดแล้วปวดหัวครับ ทำไงดีเนี่ย

“มึงจะเอาไง ว่ามา” พี่เวย์พูดขึ้น

“กูไม่เอาไงหรอก พวกมึงถอยไป” มึงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าพ่อเซี้ยงไฮ้รึป่าววะไอ้คี๊ มึงเห็นหน้าพี่เค้ามั้ย เค้าจะกินหัวมึงอยู่แล้ว

“ถอยให้โง่สิวะ” พี่คนหนึ่งในกลุ่มตอบกลับมา ผมกำแขนคีแน่นขึ้น คงรู้สึกได้แล้วว่ามีผมอยู่ตรงนี้ คีก้มมามองผมแล้วหันไปตอบพวกพี่เค้า

“หลังเลิกเรียนเจอกันสวนหลังโรงเรียนตัวต่อตัวนะพี่ ไม่เอาหมาหมู่”

“หึ เอาให้แน่แล้วกัน ไม่ใช่ป๊อดแล้วไม่ไปนะมึง” คีไม่พูดอะไรต่อ มันเดินชนไหล่พี่เค้าผ่านไปเลย ปล่อยผมยืนค้างไว้ตรงนั้นแหละครับ
ผมมองไปที่ปลิว เป็นห่วงปลิวจัง ถ้าทะเลาะกัน คนในกลุ่มคงเข้าข้างคีกันหมด เพราะว่าปลิวมีโลกส่วนตัวสูงครับ ไม่ค่อยสนิทกับคนในกลุ่มเท่าไหร่ แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามันไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายกับผม เพราะฉะนั้น มันเป็นเพื่อนผมอยู่เสมอ

“ปลิว...” ปลิวเงยหน้ามองผม ไม่พูดอะไร มันยิ้มให้น้อยๆแล้วเมินหน้าไป

“น้ำ เร็วๆดิ มึงรีบไปเรียนคาบต่อไปไม่ใช่รึไง” ผมยังไม่ทันพูดอะไรกับปลิวต่อ คีมันก็เรียกผมเสียงเข้มเชียวครับ ผมกัดริมฝีปากและรีบวิ่งกลับห้องไปกับคี เราไม่พูดอะไรกันเลยจนเรียนคาบสุดท้ายจบแหละครับ เรียนไปผมก็ลอยไป มองไปประตูหลังห้องก็เห็นปลิวนั่งเอาหน้าฟุบแขนอยู่ ไม่รู้ว่าหลับรึป่าว ส่วนคี ก็นั่งหมุนแหวนเงินที่นิ้วก้อยเล่นไป ผมคงจะไม่ได้เรียนโดยสมบูรณ์แบบถ้าฟิวไม่คอยสะกิดให้จดตามที่ครูพูด

“เลิกแล้วโว้ยยย” จอมตะโกนพร้อมกับบิดขี้เกียจไปด้วย  แต่มันก็ต้องชะงักครับ เพราะผมเอาแต่จ้องคีที่กำลังโกยของใส่กระเป๋า

“เอ่อ พวกมึงมีไรกันป่าววะ” ผมไม่ตอบจอมครับ และคีก็ดูท่าจะไม่สนใจผมด้วย

ผมถอนหายใจแล้วย่นจมูก “คี จะไปจริงๆเหรอ”

“อือ น้ำไม่ต้องไปหรอก กลับบ้านได้แล้ว”

“เฮ้ย คี มึงไปไหนวะ” จอมผู้สังเกตการณ์อดถามขึ้นไม่ได้

“เจอพวกพี่เวย์หลังโรงเรียนว่ะ” คีตอบไปพร้อมกับผูกเชือกรองเท้าไปด้วย

“งั้น ก็ไปด้วย” จอมพูดขึ้น เอ่อ ง่ายเนอะจอม รู้รึยังเนี่ยว่าเค้าไปทำไรกัน

“ไปมีเรื่องไรมาวะ” ฟิวถามขึ้นแบบงงๆ

“ไว้กูมาอธิบายวันหลังแล้วกัน” คีพูดจบก็เดินออกนอกห้องไปเลยครับ

“เฮ้ย เดี๋ยว กูไปด้วย” ฟิวท้วงอีกคน

“เออ รีบๆมาดิ พวกนั้นมันนัดสวนหลังโรงเรียน” อ้าว ทีผมล่ะห้าม ทำไมอีกสองคนไปได้อ่ะ ไม่เข้าใจ ผมก็จะไปด้วยนะ เผื่อพวกพี่เค้าเกิดเปลี่ยนใจอยากเล่นหมู่ขึ้นมาทำไงอ่ะ ผมรีบโกยของใส่กระเป๋าบ้าง ก่อนออกจากห้องผมอดหันไปมองปลิวไม่ได้ ปลิวยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะครับ ฟุบอยู่เหมือนเดิม

“ปลิว ไปด้วยกันมั้ย” ผมยกเป้ขึ้นสะพายพร้อมกับถามปลิว

“ไปสิ”

เราเดินไปพร้อมๆกันที่สวนหลังโรงเรียน ที่ตรงนี้เงียบมาก เด็กนักเรียนมักจะนัดมาต่อยกันบ่อยๆ เพราะนอกจากเงียบแล้วบริเวณหน้าสวนที่ติดกับถนนถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ และหญ้าที่ขึ้นสูงจนเลยหัว แต่ถ้าหากแหวกๆพงหญ้าเข้ามา ซึ่งคงจะต้องโดนหญ้าบาดพอแสบๆคันๆกันบ้างแหละครับ ก็จะเห็นลานว่างที่หญ้าขึ้นเตี้ยๆใต้ร่มไม้ต้นมะขามต้นใหญ่ และตอนนี้ผมเห็นพี่เวย์กับคีอยู่กลางลานครับ ผมวิ่งไปยืนข้างๆฟิว ส่วนปลิวเดินแยกไปรวมกับพวกเพื่อนๆพี่เวย์

พอเข้ามาใกล้ๆแล้วผมก็รู้สึกว่าภาพที่เห็นเมื่อกี้ผิดความคาดหมาย เพราะผมนึกว่าคีกำลังแย่ แต่ความจริงคนที่กำลังแย่กลับเป็นพี่เวย์ พี่เวย์นั่งกองกับพื้นเอามือยันตัวเองถ่มเลือดออกจากปากและพยายามจะลุกขึ้นมา แต่พี่แกลุกไม่ไหว พวกเพื่อนพี่เค้าจะเข้ามารุมคี แต่ปลิวขวางไว้ก่อน ส่วนฟิวกับจอมก็หายไปยืนข้างๆคีอย่างไว ผมเองก็เดินตามไปบ้าง

“มึงกับกูจบกันแค่นี้ ไม่มีอะไรติดค้างกัน” คีพูดพร้อมกับมองพวกพี่เวย์และเพื่อนที่พากันมาพยุงพี่แกไปยืนข้างๆ

“แล้วอย่าให้รู้นะ ว่าพวกมึงจะแอบลอบกัดไปหาเรื่องกับเพื่อนกู” คีพูดต่อหลังจากเห็นสายตาและสีหน้าเคียดแค้นจากพวกรุ่นพี่

ก่อนกลับผมเห็นคีกับปลิวมองหน้ากัน ทั้งสองคนไม่พูดอะไรกันสักคำ และเมื่อคีเดินกลับหลังหันออกไป จอมกับฟิวก็ลากผมตามกลับไปด้วย

"สายชล" (6/11/55)

"สายชล"
เริ่มต้น

   ในเช้าวันที่อากาศเริ่มเข้าหน้าหนาวเป็นวันแรกหลังจากฝนตกลาฤดู ผ่านช่วงปลายฝนต้นหนาวไปแล้ว  วันนี้เป็นวันที่ผมต้องมาสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนมัธยม  อากาศเย็นๆหลังฝนบวกกับลมหนาวที่พัดเข้ามาทำให้ผมที่นั่งรอขานชื่อเข้าสัมภาษณ์อยู่อดที่จะกอดอก และเป่ามือให้ลมหายใจอุ่นๆช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง เก้าอี้ถัดจากที่นั่งของผมคือเด็กผู้หญิงผมหยักศกผูกโบว์สีน้ำเงิน ผมมองไล่สายตายไปเรื่อยๆไปจนถึงประตูหลังห้องที่เปิดไว้ ข้างนอกมีผู้ปกครองของหลายๆคนมายืนรอให้กำลังใจลูกๆอยู่ จู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่หน้ามายืนเกาะขอบประตูพร้อมกับพยายามพูดอะไรบางอย่างเบาๆกับเด็กผู้ชายที่นั่งแถวหลังสุด (ผมนั่งแถวเกือบจะหลังสุดแหละครับ มีเก้าอี้ให้เด็กๆรอสัมภาษณ์อยู่ห้าแถว และมีโต๊ะสัมภาษณ์หน้าห้องอยู่สองตัว) ผมรู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก พอมองดีๆแล้วก็รู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มของพี่สาวของผมเองแหละครับ

“พี่อร พี่อรครับ” ผมเรียกพี่อรเบาๆ ขัดจังหวะการคุยกันของคนทั้งคู่ไปโดยปริยาย

“อ้าว น้องน้ำ มาสอบสัมภาษณ์เหรอ” พี่อรถามกลับพร้อมกับยิ้มให้ผม

“ครับ แล้วพี่อรมาทำอะไรเหรอครับ” ผมอดสงสัยไม่ได้ เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ หรือว่าพี่ๆมีงานกลุ่ม

“ปล่าวหรอก น้องพี่ก็มาสัมภาษณ์เหมือนกัน”

“พี่อรมีน้องด้วยเหรอครับ น้องชายหรือน้องสาว” ผมนึกว่าพี่อรมีแต่พี่ชายซะอีก

“คนข้างหลังนั่นไง” ผมมองตามสายตาพี่อร แล้วก็เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ผิวคล้ำสีแทน ซึ่งผมก็คิดว่าคงเป็นน้องพี่อรจริงๆแหละครับ เพราะพี่อรเองก็ผิวสีนี้เลย ผมยิ้มให้พี่อรแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก พี่อรพูดอะไรซักอย่างกับเด็กผู้ชายคนนั้นและเดินจากไป พอดีกับที่เด็กผู้หญิงคนข้างๆผมถูกเรียกไปสัมภาษณ์ ทำให้ผมรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

   เป็นไปตามคาดแหละครับ ผมสอบติดโรงเรียนมัธยมในตัวจังหวัดแห่งนั้นและได้เรียนมัธยมต้นที่นั่น วันแรกของการเปิดเรียนผมรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยครับ แต่ผมกังวลได้ไม่นาน เพื่อนที่มาจากโรงเรียนประถมโรงเรียนเดียวกันก็เดินเข้ามาในห้องเรียน

เราเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันตอนป.สาม เราไม่ได้สนิทกันหรอกนะครับ แต่ผมคิดว่าต่อไปนี้เราคงต้องสนิทกันมากขึ้นแล้วแหละ

เพื่อนผมคนนี้ชื่อฟิวครับ ฟิววางกระเป๋าหนังสือไว้ตรงโต๊ะข้างๆผมและเราก็เริ่มคุยกัน ไม่นานก็มีคนมาร่วมวงคุย เพราะเด็กๆหลายๆคนจะจับกลุ่มคุยกับเพื่อนๆที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน